วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

"ไอ-เลิร์ท-ยู ดูดี" ยังไม่สาย..ที่จะยื่นมือช่วย

"ไอ-เลิร์ท-ยู ดูดี"
ยังไม่สาย..ที่จะยื่นมือช่วย


บายไลน์ //// ปณิธาน อิทธิปิยวัช


แม้สถานการณ์น้ำท่วมที่ถาโถมอย่างรุนแรงตลอดกว่า 2 เดือน ที่ผ่านมา กำลังเริ่มอ่อนกำลังลง จนหลายหน่วยงานเริ่มทำกิจกรรม "ฟื้นฟู" เยียวยาข้าวของที่เสียหาย รวมถึงฟื้นฟูจิตใจของผู้ที่ประสบภัยให้ลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง

กลุ่มกลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ไทย ร่วมกับ สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ FM.91 (สวพ.91) และสำนักงานฑูตความดีแห่งประเทศไทย เป็นอีกความร่วมมือในการแสดงพลังความช่วยเหลือ ร่วมกันพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับแจ้งเหตุ และขอความช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบภัย

 "ไอ-เลิร์ท-ยู ดูดี" (i-Lert-u Do d) เป็นแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน โดยจะเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2254 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ

"ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ประธานสำนักงานฑูตความดีแห่งประเทศไทย เล่าว่า เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟน ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตคนไทยมากขึ้น และมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับการใช้งานด้านต่างๆ มากมาย จึงคิดที่จะนำเทคโนโลยีดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน

"กลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ไทยจึงร่วมกับสวพ.91 และสำนักงานฑูตความดีแห่งประเทศไทย พัฒนาแอพพลิเคชั่น ไอ-เลิร์ท-ยู ดูดี เพื่อใช้ในการแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งติดตามผลจนผู้ประสบภัยได้รับความช่วยเหลือ"

แอพ ไอ เลิร์ท ยู จะช่วยแบ่งเบาภาระในการทำงานของคอลล์เซ็นเตอร์ เนื่องจากขณะนี้มีผู้ประสบภัยจำนวนมากโทรเข้าไปตามคอลล์เซ็นเตอร์ที่ต่างๆ ซึ่งคอลล์เซ็นเตอร์ไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด
ขณะที่ คอลล์เซ็นเตอร์บางคนเองก็เป็นผู้ประสบภัย ไม่สามารถมาทำงานได้ ยิ่งทำให้ส่วนที่ปฏิบัติงานจริงมีน้อยลง ผู้ประสบภัยต้องรอสายนานขึ้น ท้ายที่สุดเมื่อรอไม่ไหว ก็ล้มเลิกการโทร กลายเป็นว่า คอลล์เซ็นเตอร์ไม่ได้รับเรื่อง การช่วยเหลือก็ไปไม่ถึงผู้ประสบภัย ซึ่งนั่นเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริง

"ไอ เลิร์ท ยู จะเป็นตัวกลางในการประสานงานความช่วยเหลือ โดยมีอาสาสมัครเป็นตัวแทนในการรับเรื่องเหมือนคอลล์เซ็นเตอร์ จากนั้นอาสาสมัครจะเป็นผู้คัดกรอง และส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่ไวที่สุด โดยมีสวพ.91เป็นหน่วยงานที่ช่วยในการประสานงาน สวพ.91จะมีอำนาจในการประสานงานต่อหน่วยงาน และฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น"

ดนัย บอกว่า ไอ เลิร์ท ยู ไม่ได้เป็นแอพที่เกิดขึ้นเฉพาะกิจ แต่เป็นแอพที่หวังผลระยะยาวไปถึงภัยพิบัติครั้งต่อๆ ไปในอนาคต รวมถึงมีการรับเรื่อง "ทุจริต คอร์รัปชั่น" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในวงการ เพื่อกระตุ้นให้สังคมรับรู้ และตื่นตัวในการทำความดีมากยิ่งขึ้น โดยจะมีอาสาสมัครชุดแรก ที่จะได้รับการอบรมหลังจากการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น ถือได้ว่าเป็นอาสาสมัครรุ่นนำร่อง และจะเกิดการขยายผลต่อไปในภายหน้า อาสาสมัครเหล่านี้จะได้รับการอบรมในด้านการรับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาในขั้นต้นได้

สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการโทรศัพท์ติดต่อกลับไป อาสาสมัครเป็นผู้จ่ายเอง แม้ทางกลุ่มผู้คิดค้นแอพพลิเคชั่นจะไม่สามารถคืนค่าใช้จ่ายให้ได้ แต่สำนักงานฑูตความดีแห่งประเทศไทย จะจัดทำเข็ม โล่ หรือหนังสือเดินทางความดี (D Passport) ให้แก่อาสาสมัคร เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานแทน
"อนาคต อาจจะมีการประสานงานกับดีแทค เอไอเอส และทรูมูฟ เพื่อยกเว้นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น"  ดนัยว่า

"กิตตินันท์ อนุพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อรุณสวัสดิ์ ดอท คอม เจ้าของแนวคิด ไอ-เลิร์ท-ยู ดูดี เล่าถึงแอพตัวนี้ว่า สามารถทำงานบนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการไอโอเอส 4.3 ขึ้นไป รองรับสองภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แบ่งหมวดการช่วยเหลือออกเป็น 7 หมวดคือ 1.อาหารและน้ำดื่ม 2.การแพทย์ฉุกเฉิน 3.แจ้งจับสัตว์ร้าย 4.อาชญากรรมและมิจฉาชีพ 5.การทุจริตและประพฤติมิชอบ 6.ระบบสาธารณูปโภค 7.การเดินทาง

โดยจะมีการทำงาน เมื่อมีผู้แจ้งขอความช่วยเหลือ แจ้งเตือนไปยังอาสาสมัครที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมระบุตำแหน่งผู้แจ้งด้วยดาวเทียม ระบบจะคัดกรองเหตุและแจ้งไปยัง สวพ.91 ซึ่งจะประสานขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่กี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้สามารถใช้งานในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้

นอกจากนี้ ยังได้จัดอบรมอาสาสมัครรุ่นแรกจำนวนกว่า 150 คน โดยมีนางไจตนย์ ศรีวังผล รองกรรมการผู้จัดการ ข่าวจราจร สวพ.91 ให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการและเทคนิคการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งอาสาสมัครทุกคนจะได้รับหนังสือเดินทางความดี (D Passport) จากสำนักงานฑูตความดีแห่งประเทศไทย

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สุดท้าย....ที่ "ปลายบาง" สุดเขต "น้ำท่วม" ชานเมืองนนทบุรี

สุดท้าย....ที่ "ปลายบาง"
สุดเขต "น้ำท่วม" ชานเมืองนนทบุรี

เรื่อง - สุชาดา วันทอง
เรียบเรียง - ปณิธาน อิทธิปิยวัช

"สุดสายที่วัดศรีประวัติจ้า รีบขึ้นเลยนะค่ะ" เสียงร้องเรียกของกระเป๋ารถเมล์ สาย 127 ดังขึ้นเป็นจังหวะ คอยประกาศบอกผู้โดยสารที่กำลังหาทางเข้าเขตจังหวัดนนทบุรี สถานการณ์น้ำท่วมเช่นทุกวันนี้ ทำให้การเดินรถประจำทางหลายสายต้องเปลี่ยนแปลงไป รถประจำทางสายนี้ แต่เดิมจุดหมายปลายทางคือตลาดบางบัวทอง แต่ปัจจุบันวิ่งได้ไกลที่สุด ก็แค่เพียงบริเวณหน้าวัดศรีประวัติเท่านั้น
รถประจำทางค่อยๆ ขยับเคลื่อนรถ ป้ายที่ผมขึ้นนั้นคือป้ายบริเวณหน้าโลตัส ปิ่นเกล้า ร่องรอย คราบตะไคร่น้ำที่เกาะบริเวณเสาไฟฟ้า ฟุตบาท และพื้นผิวท้องถนน ก็พอจะเดาออกได้ว่าบริเวณที่ผมยืนอยู่นี้ เคยถูกน้ำท่วมขังมาเช่นเดียวกัน
บรรยากาศสองข้างทางดูไม่ค่อยจะสดใสสักเท่าไร ต้นไม้เล็กๆ พุ่มไม้ประดับตกแต่งตามเกาะกลางถนนล้มตายเหี่ยวเฉา สีน้ำตาลที่ดูเหี่ยวแห้ง กลายเป็นสียอดนิยมอยู่ตลอดเส้นทางถนนสายบรมราชชนนี การมาเยี่ยมเยียนของน้ำเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พาเอาความชุ่มชื้นที่เกินความจำเป็นมาให้ ยามนี้แม้น้ำจะแห้งเหือดจากไป ก็ยังพาเอาชีวิตเล็กๆ ของพุ่มไม้ตามไปด้วย แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั้น บริเวณแห่งนี้จะมีน้ำท่วมสูงถึงกว่า 1 เมตร หากไม่มีร่องรอยคราบน้ำ และสีน้ำตาลที่ดำไหม้ของตะไคร่น้ำเป็นเครื่องยืนยัน

++ยินดีต้อนรับเข้าสู่ "น้ำท่วม"
เพียงรถข้ามพ้นสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ สิ่งที่ทำให้รถต้องลดเส้นทางการเดินรถก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าผม ไม่ถึง 10 เมตรข้างหน้า ใต้ป้ายเชิญชวนว่า "ยินดีต้อนรับเข้าสู่จังหวัดนนทบุรี" มวลน้ำเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่จนรถไม่สามารถสัญจรต่อไปได้ ทำให้ผู้โดยสารต้องเปลี่ยนวิธี หาเส้นทางการสัญจรของตัวเองต่อไป มันน่าประหลาด หันกลับหลังไป เราเห็นพื้นที่แห้งตลอดเส้นทาง ตรงหน้าเรากลับมีน้ำท่วมขังมากกว่า 50 เซนติเมตร คล้ายๆ ผมยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างเมฆฝน กับท้องฟ้าแจ่มใส ถอยหลังกลับไปก็แห้ง เดินหน้าเข้าไปก็เปียกปอน มีเพียงสะพานข้ามคลอง ซึ่งเป็นตัวแบ่ง "เขต" จังหวัดเป็นตัวคั่นเท่านั้น

++ตลาดถนน ปากท้องของผู้ประสบภัย
ริมสะพานสองข้างทาง บริเวณชุมชนปลายบาง หรือที่เรียกกันว่า วัดศรีประวัติ จังหวัดนนทบุรี กลายเป็นตลาดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากความต้องการในปัจจัย 4 อาหารนั้น มีทั้งของคาว ของสด ของหวาน อาหารแห้งมากมายให้ชาวบ้านเลือกซื้อหา บ้างอยู่ไกลก็แจวเรือ จ้างเรือเพื่อออกมาซื้อ บ้างอยู่ใกล้ก็เดินลุยน้ำออกมาพร้อมกะลังมัง เพื่อนำอาหารกลับไปเลี้ยงปากท้อง ประทังชีวิตคนในครอบครัวของตนเอง ซึ่งยังติดอยู่ในบ้านที่น้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร บ้างก็เปลี่ยนอาชีพ พลิกจากมือที่เคยจับจอบ เสียมทำสวน มาจับมีดทำครัว ผลิตอาหารขายเพื่อหารายได้หล่อเลี้ยงชีวิต
"แต่เดิมป้าก็ทำสวน ส่งผักให้กับพ่อค้า ตอนนี้น้ำท่วมสวนผักไปหมดแล้ว ป้าก็ต้องหาอย่างอื่นทำหารายได้" ป้าชูศรี พลูสิริ ชาวสวนตำบลปลายบาง พูดพลางปิ้งหมูไปพลาง ฝีมือทำอาหารคงไม่ธรรมดา เพราะขนาดกลิ่นยังเตะจมูก ชวนให้ท้องหิวได้ขนาดนี้

++เล็กที่สุดในจังหวัด สำคัญที่สุดในตำบล
ไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเรือเครื่องก็ดับลง พร้อมกับการปรากฎตัวของนายสุรชัย โชคสกุลวงษ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ของตำบลปลายบาง เสียงชาวบ้านทักทายผู้ใหญ่ไม่ขาดสาย ก็พอจะทำให้ทราบได้ว่า ผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญของชาวบ้านที่นี่
"ผมกับชาวบ้านทำเต็มที่ เราพยายามเสริมกระสอบทราย สร้างคันกั้นน้ำตลอดแนวริมคลองมหาสวัสดิ์ ต่อสู้และป้องกันน้ำเข้าท่วมพื้นที่ตลอด ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือดีเสมอมา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ถ้าผมต้องการคนช่วย ชาวบ้านก็พร้อมเสมอ แม้ว่า ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ที่คันกั้นน้ำพัง เราจะป้องกันและซ่อมแซมได้ทัน แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องยอมแพ้ให้กับน้ำ เพราะครั้งที่ 4 และครั้งสุดท้าย เราไม่มีทรายแล้ว จำต้องปล่อยให้น้ำท่วมพื้นที่เรา ชาวบ้านก็ไม่โทษเรา เพราะชาวบ้านเข้าใจ เห็นความพยายาม เห็นการทำงานของเรา" ผู้ใหญ่บ้านพูดพลางล่องเรือ พาชมสถานที่ทั้งบริเวณชุมชนโดยรอบที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทั้งบริเวณแนวคันกั้นน้ำ บ้านชั้นเดียวของชาวบ้านริมคลองมหาสวัสดิ์ที่ถูกน้ำท่วมสูงจนต้องอพยพไปอาศัยบนหลังคา

++ชานเมืองกับในเมือง ต่างกันเกือบ 50 ซม.
เมื่อผู้ใหญ่บ้านพาเรือล่องเข้ามาในคลองมหาสวัสดิ์ คำตอบของสถานการณ์น้ำท่วมที่ดีขึ้นในเร็ววันของกรุงเทพก็ประจักษ์ต่อสายตา แนวเขื่อนกั้นน้ำคอนกรีต เสริมด้วยกระสอบทรายสองถึงสามชั้นเป็นแนวยาวไปตลอด ขนานคู่กับคลองมหาสวัสดิ์ แทบไม่มีช่องว่างให้น้ำเข้าพื้นที่ได้ ระดับน้ำภายในกับภายนอก ต่างกันกว่า 50 เซนติเมตร ประตูน้ำบางประตูไม่เปิด ซ้ำยังมีการสูบน้ำ ระบายลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ ซ้ำเติมชาวบ้านฝั่งนนทบุรี  แต่ผู้ใหญ่บ้านสุรชัย กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป
"เขามีงบประมาณ เขาปกป้องพื้นที่ของเขาได้ ผมก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ชาวบ้านทั้งสองฝั่งน้ำก็รักใคร่ มีน้ำใจต่อกัน มันเป็นการดีที่ฝั่งกรุงเทพฯ น้ำไม่ท่วม เพราะทำให้การเข้ามาของอาหารเกิดขึ้น เกิดตลาดเล็กๆ ที่ทำให้ชาวบ้านสามารถซื้อหาอาหารเลี้ยงประทังชีวิตได้ ชาวบ้านที่นี่ไม่เคยคิดจะพังคันกั้นน้ำเลย รู้ดีว่าการพังคันกั้นน้ำไม่ได้ทำให้ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็วหรอก มีแต่ส่งผลเสีย ถ้าการสัญจรถูกตัดขาดอีกครั้ง ชาวบ้านจะหาซื้ออาหารได้จากที่ไหน จะเป็นการซ้ำเติมตัวเอง"

++"น้ำลด" ของขวัญชิ้นใหญ่ในวันปีใหม่
"ตอนนี้มวลน้ำที่ไหลมาในพื้นที่ เป็นน้ำที่มาจากบางบัวทอง การที่บางบัวทองน้ำลดลงนั้นเป็นสัญญาณที่ดี ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่า บริเวณนี้น้ำก็เริ่มลดลงมาแล้ว" ผู้ใหญ่พูดพลางชี้บริเวณคราบระดับน้ำ
"มันลดลงเกือบ 20 เซนติเมตร ถึงมันจะช้าแต่ก็เป็นแนวโน้มที่ดี ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงประมาณช่วงปีใหม่ น้ำน่าจะลดระดับลงไปจนหมด อาจจะช้าสักเล็กน้อย เนื่องจากน้ำบริเวณนี้ไม่มีที่ระบาย ต้องรอระบายออกไปพร้อมกับคลองมหาสวัสดิ์อย่างเดียว แต่ไม่ต้องห่วงเมื่อไหร่ที่แนวกระสอบทรายโผล่พ้นน้ำเมื่อไร จะนำเครื่องสูบน้ำทั้ง 6 เครื่องมาดำเนินการกู้พื้นที่อีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ อยากให้นำเรือไปผลักดันน้ำที่คลองบางกอกน้อย เพื่อให้น้ำไหลออกสู่เจ้าพระยาได้เร็วขึ้น ดังที่ในหลวงท่านทรงตรัสไว้" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวก่อนจะนำเรือเข้าเทียบฝั่งบริเวณคอสะพาน

++คนพื้นที่เปียก ย่อมรู้ดีกว่าคนพื้นที่แห้ง !!
เมื่อเล่าถึงการแถลงการณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เรื่องการจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าอยู่อาศัยในบ้านของตนเองได้ภายในวันที่ 1 ธ.ค.ให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง ผู้ใหญ่สุรชัยกลับให้ความเห็นที่ต่างออกไป

"มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าว แต่ในมุมมองของคนในพื้นที่ มุมมองของชาวบ้านที่คุ้นเคยดีกับการอยู่กับน้ำ ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประมาณช่วงปีใหม่ สถานการณ์น้ำถึงจะกลับเป็นปกติ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่น้ำจะลดลงก่อนวันที่ 1 ธ.ค. เพราะน้ำจากบางบัวทองยังลงมาไม่หมด ทางระบายน้ำก็มีอยู่เท่าเดิม คนที่อยู่ในที่แห้งคงคาดการณ์ด้วยความรู้อย่างเดียว ไม่ได้คาดการณ์ด้วยประสบการณ์ และความเป็นจริง"  ผู้ใหญ่สุรชัยกล่าว ก่อนจะทักทายชาวบ้าน สอบถาม ดูแลทุกข์ สุขของลูกบ้านตัวเองต่อไป

แม้จะต้องเป็นพื้นที่รับน้ำ แม้จะต้องทนกับสภาพน้ำท่วมขังอีกนานนับเดือน เพราะการบริหารจัดการน้ำที่ไม่มีระบบของจังหวัด แต่ชาวบ้านชุมชนปลายบางก็ยินดี เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองอย่าง "ผู้เสียสละ" ปรับวิถีชีวิตตนเองให้อยู่กับน้ำ เมื่อไม่มีหน่วยงานราชการระดับสูงใดให้ความใส่ใจ ชาวบ้านจำเป็นต้องดูแลตนเอง ทนรับสภาพ "ผู้เสียสละ" ในฐานะ "ชานเมือง" ปกป้อง "เมืองใหญ่" อย่างไม่มีทางเลือก...

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

30 ขั้นตอน รับวิกฤติน้ำท่วมกรุง

30 ขั้นตอน รับวิกฤติน้ำท่วมกรุง
by PrinceBerry

            ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน การไม่พูดถึงเรื่องน้ำท่วมก็ดูจะเป็นการ เสียมารยาท ต่อ น้องน้ำ ที่อุตส่าห์ไหลบ่าข้ามจังหวัด เข้ามาหา พี่กรุงเกินไปสักหน่อย
            ความพยายามของนางสูงมาก ถึงขนาดเข้ามหาลัยพร้อมกันหลายๆ แห่ง เพื่อหาความรู้นะฮะ
            ความน่ากลัวของน้องน้ำ ทำให้คนกรุงตื่นเต้น ไม่สิ ควรจะใช้คำว่า ตื่นตระหนก ตกใจ(เวอร์) น้ำยังไม่ถึงตัว ก็รีบกว้านซื้อสินค้าไปกักตุนเพื่อบริโภคกันเสียเต็มเหนี่ยว !!
            คงจะลืมไปว่า ถ้าเค้าตัดน้ำ ตัดไฟ จะไม่มีไฟฟ้าใช้ต้มมาม่า ส้วมตันจนขับถ่ายไม่ได้
แต่การคืบคลานเข้าใกล้ และบุกรุกของน้องน้ำนี่เองที่ทำให้คนกรุง หันมาติดตามข่าวสารมากขึ้น (จากสองบรรทัดต่อคนต่อปี) เพื่อหนีภัยน้ำท่วมที่กำลังใกล้เข้ามา
            ไม่ว่าจะเปิดไปโซเชียลเน็ทเวิร์คตัวไหนๆ ก็จะได้เห็นเรื่องน้ำท่วมจนชินตา ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ บลาๆๆๆ ที่ประชาชนต่างก็ทำหน้าที่ของ นักข่าวพลเมือง ได้อย่างดีเยี่ยมจนหน้าปรบมือให้ !!
            ก็มีทั้งข่าวจริง ข่าวลือ ข่าวปั้น ข่าวมั่วซั่วกันไป อัปเดทกันแบบวินาทีต่อวินาที ระดับน้ำขึ้นแบบเซนติเมตรต่อเซนติเมตร พร้อมรูปประกอบ ข้อมูลดิบอย่างหนาแน่น ก็อยู่ที่วิจาณญานในการแยกแยะของผู้รับสื่อนะครับ
            สถานการณ์น้ำท่วมในปี 54 นี้ เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นรุนแรงเลยทีเดียว นับจากตัวผู้เขียนเองก็ย้ายถิ่นที่อยู่มาถึง 4 ที่แล้วด้วยกัน (บางบัวทอง > ลาดปลาดุก > บางพลัด > เคหะ ท่าทราย) ไปที่ไหน น้ำก็ตามมาท่วมทุกที่ ยัดเยียดตำแหน่ง ผู้ประสบภัย ให้กัน ทั้งที่ไม่อยากจะได้เลยสักนิดเดียว
            เป็นน้ำท่วมที่หนักหนาเหนือจากความคาดการณ์ของใครหลายๆ คน (แม้แต่ตัวผมเอง) ที่ไม่คาดคิดว่า น้ำจะท่วม เยอะท่วม มาก ท่วม วงกว้าง และ ท่วม นาน ขนาดนี้ !! ในฐานะของผู้ประสบภัยน้ำท่วม อยากจะให้คำแนะนำเบาๆ แก่คนอื่นๆที่น้ำ กำลังจะ ท่วมบ้าน เพื่อหาวิธีรับมือแบบ ชั่วคราว
1.      สิ่งแรกที่คุณควรจะทำ เมื่อได้ยินข่าวน้ำท่วม คือ ออกไปดูครับ ออกไปดูให้เห็นกับตา ว่าไอ้ที่ เค้าว่ากันว่า น้ำท่วมเนี่ย มันมารึยัง มันโผล่มาให้เห็นตามตรอก ซอก ซอย ถนนแล้วหรือไม่
2.      ถ้าคิดจะ ตรึงกำลัง ต่อสู้กับมวลน้องน้ำ ให้หา น้องทราย พี่อิฐ พี่ปูน มาเป็นพวก แต่ขอเตือนไว้อย่างว่า น้องน้ำเธอมีพลังมากมายเหลือเฟือ คุณจะทำได้แค่ ชะลอการเพิ่มระดับของน้ำ ไม่สามารถทำให้บ้านคุณแห้งเป็นแอ่งไข่ดาวได้ ถ้าไม่มีตังค์
3.      และอย่าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะป้องกันน้ำไว้ได้ถาวร
4.      ถ้าเงินเหลือใช้นัก ก็ซื้อเครื่องสูบน้ำไว้สักเครื่อง เพราะลำพังแค่ ทราย อิฐ ปูน น้ำสามารถซึมผ่านเข้ามาได้ (ให้รูเล็กแค่ไหน นางก็เข้ามาได้) สูบน้ำออกจากบ้านทั้งวันทั้งคืนไปเลย รอจ่ายค่าน้ำมันกระเป๋าฉีก เพราะน้ำมันหายากเหลือหลาย
5.      จากข้อ 4 น้ำที่คุณสูบออกไป จะไปท่วมบ้านของเพื่อนบ้าน หลังน้ำลด ระวังโดนเกลียดขี้หน้าแบบลับๆ
6.      น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ไม่ได้ท่วมเหมือนในหนัง 2012 หรือ The day after tomorrow ที่เราเคยดู มันไม่ทะลักมาขนาดนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ คือน้ำจะค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นช้าๆ ตอนเย็นเห็นแค่ตาตุ่ม อย่าวางใจ เช้ามา มันอาจถึงหน้าอกได้ (เหมือนบ้านของผม) วิธีเช็คง่ายๆ ว่าระดับน้ำทรงตัว หรือไหลออกไปหรือไป (ในกรณีที่น้ำใสพอสมควร) ให้เอาเชือกฟางบางๆ ผูกไว้ที่ปากท่อ ดูว่ากระแสน้ำยังไหลออกมาจากท่อหรือไม่ หรือออาจทำเรือโฟมเล็กๆ ปล่อยให้ลอยตามกระแสน้ำ เพื่อดูว่าน้ำพัดไปทางไป ส่วนใหญ่ ถ้าไม่ไหลจากในหมู่บ้านออกถนน ก็ไหลจากถนน เข้ามาในหมู่บ้านนั่นเอง
7.      และควรทำกระสอบทรายสองชั้น ชั้นแรกกันน้ำเข้าในบ้าน ชั้นที่สองป้องกันแรงกระแทกที่เกิดจากคลื่นน้ำที่รถวิ่ง เรือแล่น เพราะมันสามารถทำให้กระจก 7-11 แตก ชัตเตอร์บานเลื่อนพัง หรือมอเตอร์ไซค์คว่ำ นอนแอ้งแม้งในน้ำ (เจอมากับตัว TT^TT)
8.      ถ้าทำได้ รีบอพยพ ย้ายไปต่างจังหวัด ย้ายข้าวของที่มีราคาแพง ออกไปเท่าที่ทำได้ เช่น ทอง เพชร ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าเอาไปไม่ได้ก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็มีโปรลดราคาแน่นอน
9.      ถ้าไม่อพยพ ควรมีอาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูปติดบ้านไว้ อย่ารอการช่วยเหลือจากถุงยังชีพ ถ้าคุณรอ คุณอาจอดตายโดยไม่มีใครเหลียวแล 55+
10.  และอย่าโง่ใช้เตาไฟฟ้า กรุณาใช้เตาแก๊ส หากกลัวระเบิด ก็ใช้เตาถ่าน หากกลัวไฟไหม้ แนะนำให้กลับสู่ยุคหิน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทำกับข้าว
11.  จากข้อ 10 คุณทำได้มากที่สุดก็แค่ต้มมาม่ากับหุงข้าว แกคิดว่าจะมีของสดให้แกเอามาปรุงอาหารหรือไง ?
12.  หาหยูก ยา เน้นที่ฆ่าเชื้อโรค ท้องเสีย แก้แพ้ แก้น้ำกัดเท้า คาลามายด์แก้คัน เชื่อเถอะ ไม่มีใครที่จะอยู่จนพ้นผ่านน้ำท่วมไปได้โดยไม่ป่วย
13.  จงทำใจว่า บรรยากาศในการอาบน้ำของคุณจะเปลี่ยนไป อาจจะได้เล่นน้ำคลองสนุกสนาน หรืออาจจะได้อาบน้ำกลางแจ้งบนหลังคา
14.  และสุขา ก็จะเปลี่ยนเป็น ทุกขเวทนา ทันที ใช้ส้วมที มันก็ตัน ต้องใช้ส้วมชั่วคราว ทำธุระใส่ถุงดำ
15.  ทำธุระเสร็จ ก็นำน้ำ EM ใส่ลงไป อย่าใจร้อน เขวี้ยงไปให้ไกลตา หลังน้ำลด มันจะกลับมาหาคุณ!!
16.  ทำใจเผื่อไปอีกขั้น ว่าน้ำสะอาดจะไม่มีใช้บริโภค แต่ยังพออุปโภคได้
17.  อย่าลืมสับคัทเอาท์ภายในบ้าน ตัดเฉพาะส่วนที่เป็นชั้นล่างทั้งหมด ใครไม่รู้ว่าตัวไหนชั้นล่าง อนุโลมให้ตัดไฟทั้งบ้านได้ ทนร้อนเอาหน่อย อยากโง่เอง 55+
18.  หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ปลั๊กไฟ แม้แรงดันไฟฟ้าในบ้านจะเพียงแค่ 220 โวลท์ มันก็ทำให้ตายได้
19.  จากข้อ 18 ระยะที่ไฟฟ้านำไฟฟ้าในน้ำก็ไม่เท่ากัน กรุณาอย่าระแวงเกินเหตุ ไม่เกิน 3 5 เมตรหรอก !!
20.  ยกเว้นกรณีไฟฟ้าแรงสูงตามเสาไฟฟ้า กรุณาอย่าโง่ไปยืนใกล้เชียว !!
21.  หากคุณมีสัตว์เลี้ยง ให้นึกถึงวันแรกที่คุณพาเค้าเข้าบ้าน ไม่ว่าคุณจะลำบากขนาดไหน ก็ห้าม ทิ้ง โดยเด็ดขาด อย่ามักง่าย เลี้ยงไม่ได้ ดูแลไม่ได้ รับผิดชอบชีวิตสัตว์เลี้ยงไม่ได้ ก็อย่ามีครอบครัว อย่ามีลูกเด็ดขาด
22.  แนะนำให้นอนด้วยกัน แล้วคุณจะเห็นความน่ารักของสัตว์เลี้ยงในมุมที่คุณก็ไม่เคยเห็น คุณอาจได้เห็นสัตว์เลี้ยงโตเป็นสาว (ประจำเดือนมา) แบบต่อหน้าต่อตา ทั้งที่เลี้ยงมาหลายสิบตัว ไม่เคยได้เห็นเลย
23.  หลังน้ำลดอย่าลืมพาไปหาหมอ ตรวจ ทำวัคซีน ฉีดยาซะ
24.  หากจะออกจากบ้าน แนะนำให้หาเรือไว้สักลำ จะเป็นต้นมะพร้าวที่ตายแล้ว กะบะผสมปูน แผ่นโฟมสำหรับทำงานฝีมือ อะไรก็ได้ที่ลอยได้ และขนของได้
25.  ขณะที่คนก็ควรจะหาอะไรห่อขา หรือเอว กรณีนี้บูทหรือถุงดำช่วยได้
26.  จากข้อ 25 แต่อย่าโง่ใส่รองเท้าบูท ในที่ที่ระดับน้ำสูงกว่ารองเท้า ... คือ มึงจะใส่ทำเพื่อ ??
27.  บางทีครีมกันแดดก็สำคัญ แค่คุณอาจจากบ้านสามวัน หน้าคุณอาจดำเหมือนตากแดดมาสามเดือน !!
28.   สิ่งเดียวที่จะวิ่งบนน้ำท่วมคือรถโดยสารของทหาร ใช้ความหน้าด้าน ถามเข้าว่าไปที่ไหนบ้าง และคุณพอจะลงที่ไหนได้บ้างจะช่วยให้คุณสะดวกขึ้น
29.  กรุณาอย่างเหวี่ยงทหาร ถ้าไม่ได้ดังใจ หรือรถไม่ไปทางที่คุณต้องการ ยังจะต้องการอะไร เค้ามาช่วยรับส่งก็ดีเท่าไรแล้วยะ
30.  อย่าลืมมีน้ำใจไมตรี ต่อผู้ประสบภัยด้วยกัน อย่าลืมว่าทุกคนต่างก็เจอภัยเช่นเดียวกัน อยู่ที่ว่า ใครท่วมมาก ใครท่วมน้อย แบ่งปันกันไป จะทำให้คุณผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างมีความสุขครับ

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใช้แล้ว...ใช้อีก ขวดน้ำที่จตุจักร


ใช้แล้ว...ใช้อีก ขวดน้ำที่จตุจักร


“รับน้ำเย็นๆไหมคะ เก็กฮวย โคล่า กาแฟ น้ำเปล่าสะอาดบริสุทธิ์ก็มีนะคะ”
เสียงแม่ค้าดังเจื้อยแจ้วเข้ามา ทันทีที่พ้นประตูจตุจักร อากาศซึ่งร้อนอบอ้าวราวกับเป็นลางบอกเหตุว่าฝนห่าใหญ่กำลังตามติดมานั้นไม่ได้ทำให้เสียงสดใส สุกสกาวของแม่ค้าผู้นั้นลดลงเลย
แม้ผู้เขียนจะทนต่อสถานการณ์ทางการเมืองได้ แต่คงไม่อาจทนต่อภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายได้แม้แต่วินาทีเดียว
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต จนบางครั้งเราก็ลืมให้ความสำคัญต่อความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำดื่มที่เราบริโภค ซึ่งบางครั้งอาจไม่สะอาดหรือได้คุณภาพเท่าที่ควร
แม้ว่าทางการปะปาจะรับรองคุณภาพของน้ำที่ให้บริการว่าสามารถดื่มได้ แต่คนไทยเราก็ยังไม่มั่นใจในคุณภาพและความสะอาดของน้ำ จึงหันมาดื่มน้ำที่บรรจุขวดขายเป็นทางเลือกอีกทางเพื่อป้องกันและสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ซึ่งการดื่มน้ำบรรจุขวดนี้
 ไม่ว่าจะดื่มที่บ้าน หรือนอกสถานที่ น้ำดื่มบรรจุขวดก็ยังให้ความปลอดภัยต่อตัวผู้บริโภคเองได้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า น้ำดื่มที่เราซื้อบริโภคนอกสถานที่นั้น เป็นน้ำสะอาดที่ปลอดภัย และรับมาจากผู้ผลิตโดยตรง ไม่มีการบรรจุขวดเองแล้วใช้ซ้ำ


“ติ๊ก” สาวนักช็อปถือขวดน้ำดื่มเข้ามาใกล้ ผู้เขียนจึงเข้าไปสอบถามถึงความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนจะซื้อน้ำและเปิดขวด เธอได้เช็คซีลพลาสติกที่ปิดฝาขวดเรียบร้อยแล้ว หากจะดื่มน้ำต้องดูก่อนว่าไม่มีร่องรอยการแกะ หรือการทำขวดกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ร้านที่เธอเลือกซื้อควรจะต้องเป็นร้านที่มีที่ตั้งมั่นคง ไม่ใช่ร้านแผงลอย ต้องมีสต๊อกของเป็นแพ็คให้เราเห็น เธอจึงจะเลือกซื้อ
ถึงแม้ติ๊กจะป้องกันตนเองอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้เครือข่ายขบวนการเอาเปรียบผู้บริโภคเช่นนี้หายไปได้ เนื่องจากในสีงคมนั้น ยังมีผู้ที่รู้ไม่เท่าทันวิธีการและตกเป็นเหยื่อของผู้ค้าอีกจำนวนมาก


ในขณะที่สัมภาษณ์สาวหน้าหวานอยู่นั้นเอง สาวเปรี้ยวอีกคนก็กำลังซื้อน้ำดื่มด้วยความกระหาย ผู้เขียนจึงไม่รอช้า เข้าไปถามความรู้สึกของเธอบ้าง
“อุ้ม”เด็กสาวท่าทางทะมัดทะแมงดื่มน้ำด้วยความกระหายพลางโบกมือให้ผู้เขียนรอสักครู่ ก่อนที่เธอจะให้สัมภาษณ์
อุ้มบอกว่า เธอเป็นขาประจำของสวนจตุจักร เนื่องจากเคยทำงานอยู่ที่นี่ โดยส่วนตัวแล้วเธอไม่คิดมากเรื่องที่มาของผลิตภัณฑ์ เธอจึงไม่เคยทราบมาก่อนว่าวิธีการของผู้ขายเป็นอย่างไร ขอเพียงเธอดื่มเข้าไปแล้วท้องไม่เสียก็เป็นพอแล้ว
ผู้บริโภคบางรายซื้อน้ำดื่มโดยที่ไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น บางคนคิดว่าการที่ผู้ขายเปิดขวดน้ำให้นั้นเป็นการบริการหลังการขายที่ดี แต่ใครจะรู้บ้างว่านั่น อาจเป็นวิธีการที่ใช้เพื่อปกปิดร่องรอยการนำขวดกลับมาใช้ใหม่ที่แนบเนียนก็เป็นได้

PrinceBerry

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จำนวนสถาบันกวดวิชา สะท้อนคุณภาพระบบการศึกษาไทย





สกู๊ป จำนวนสถาบันกวดวิชา สะท้อนคุณภาพระบบการศึกษาไทย
ทั้งที่เป็นวัยหยุดสุดสัปดาห์ แต่เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เดินกันให้ทั่วสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม แน่นอนว่าจุดประสงค์ของแต่ล่ะคนคงไม่เหมือนกัน และคงไม่ได้มาเพียงเพื่อจะชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง “รถไฟฟ้า มาหานะเธอ” ที่โด่งดังเป็นพลุแตก หรือแค่มาเที่ยวชมโรงภาพยนตร์ที่ถูกไฟไหม้ จากฝีมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
แต่เป้าหมายที่แท้จริง ของนักเรียนสะพายเป้ในชุดไปรเวท คือการมาเรียนรู้นอกห้องเรียนกับสถาบันกวดวิชาต่างๆ
หนึ่งสมองกับสองมือ หนึ่งหัวใจกับสองเท้าก้าวย่างเดิน เพื่อมาเรียนพิเศษที่สยาม ศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด
มีตั้งแต่นักเรียนอายุ 13 ปี ไปจนถึง อายุ 18 ปี ผสมปะปนกันไป โดยทั้งหมดนั้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เรียนพิเศษ หาความรู้เพิ่มเติมจากความรู้ในห้องเรียน
แปลว่าอะไร? แปลว่าระบบการศึกษาในห้องไม่ดีอย่างนั้นหรือ ถึงขนาดที่จะต้องมาหาสถานศึกษาภายนอกที่ไม่ใช่ของรัฐบาลกันแบบนี้
เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังนั่งกดบีบีอยู่หน้าธนาคารกรุงเทพใกล้ๆบันไดทางลงของสถานีรถไฟฟ้า ในมือเต็มไปด้วยหนังสือเรียนกวดวิชา จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน
ธรรศ กิตติสุวรรณ์ นักเรียนชั้นม.5 มีเป้าหมายจะเป็นทันตแพทย์ให้ความคิดเห็นว่า ที่ตนต้องมาเรียนพิเศษ เพราะรู้สึกว่าการเรียนในห้องไม่เพียงพอต่อการใช้ในการสอบ ถ้าหากตนไม่เรียนพิเศษก็คงจะตามคนอื่นๆไม่ทัน
“เดี๋ยวนี้ใครๆก็เรียนทั้งนั้น มันเท่ากับว่า คนอื่นเค้าเดินนำหน้าเราไปก้าวนึง ถ้าเราไม่ได้เรียนพิเศษ เค้าก็รู้มากกว่าเรา เวลาสอบแข่งขันเราจะเสียเปรียบ” ธรรศกล่าว
เห็นได้ชัดว่า สภาพสังคมไทยก็ตอบรับกับความคิดนี้ ดังที่เราเห็นจากปรากฎการณ์ของสถาบันกวดวิชาที่มีมากมาย พัฒนาจากการที่รับสอนพิเศษตามบ้านในวันหยุด สอนแค่การบ้านพิเศษ กลายเป็นสถาบันกวดวิชาเป็นตึก เรียนกันเป็นคอร์ส เป็นชั่วโมง กลายเป็นโรงเรียนแห่งที่สองสำหรับวันหยุดพักผ่อนของเด็กนักเรียนไปแล้ว
 ไม่ว่าจะเป็น เดอะเบรน ออนดีมานด์ อาจาร์ยอุ๊ ล้วนแต่เป็นสถาบันที่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและเด็กนักเรียนในยุคใหม่ทั้งสิ้น
การศึกษาของไทยในปัจจุบัน มันกลายเป็นเรื่องที่มากกว่า การให้ความรู้ การรับความรู้ไปแล้ว กลายเป็นการแข่งขันที่ทุกคนต้องช่วงชิงกัน เพื่อให้ตนเองได้อยู่ข้างหน้า ได้อยู่ตำแหน่งที่ดีๆ ได้อยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
โดยที่มีผู้ปกครองคอยแนะนำส่งเสริม สนับสนุนแกมบังคับอยู่เบื้องหลัง โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมและสภาพจิตใจของเด็กที่จะต้องมาอยู่ในสังคมแห่งการแข่งขัน

หลังจากน้องธรรศจากไปไม่นาน ก็มีเด็กหนุ่มหน้าใสอีกคนเดินสวนมาด้วยท่าทีรีบร้อน  จึงต้องขอรบกวนเวลาเพื่อสัมภาษณ์น้องคนนี้สักเล็กน้อย ด้วยความน่าสนใจ บุคลิก และหนังสือปึกใหญ่ที่อยู่ในมือของเค้า
เด็กหนุ่มแม้ว่าจะรีบร้อน แต่ก็ยังยินดีเสียสละเวลาให้กับเรา ซึ่งต้องแสดงความขอบคุณให้ ณ ที่นี้ด้วย
ธโนคม โสบุมา ณ อยุธยา นักเรียนชั้นม.3 จากโรงเรียนในจังหวัดอยุธากล่าวว่า ที่ตนต้องมาเรียนที่กรุงเทพในช่วงปิดเทอม เพราะว่าผู้ปกครองต้องการให้ตนมีความรู้เทียบเท่ากับเด็กในกรุงเทพ ผู้ปกครองของตนมองว่า การศึกษาในต่างหวัดไม่เท่าเทียมกับในกรุงเทพ ถ้าหากไม่มาเรียนที่กรุงเทพ โอกาสที่จะไม่รู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้ก็มีมาก และจะกลายเป็นข้อเสียเปรียบเวลาสอบแข่งขันกัน
“มันกลายเป็นเรื่องจำเป็นไปแล้ว สำหรับการเรียนพิเศษ ทุกปิดเทอมผมจะต้องมาเรียนเพิ่ม ไม่อย่างนั้นเราก็จะสอบไม่ได้ แข่งขันกับใครก็ไม่ได้” ธโนคมกล่าว
ดูเหมือนกับว่าทั้งตัวผู้ปกครองและตัวเด็กนักเรียนเอง ต่างก็ให้ความสำคัญกับสถาบันกวดวิชาและการเรียนพิเศษมากเป็นพิเศษ นั่นแปลว่า ช่วงเวลา 8 ชั่วโมงในโรงเรียนนั้น ไม่มีผลใดๆต่อความรู้สึกของตัวเด็กและผู้ปกครอง แต่กลับเป็นช่วงเวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมงของสถาบันกวดวิชา ที่มีค่าและความสำคัญต่อความรู้สึก
มันเป็นเพียงแค่กระแสค่านิยม หรือระบบการศึกษาไทยมันแย่จริงๆ?
ทำไมเสียงสะท้องของสังคม กลับเลือกที่จะใช้บริการจากสถาบันกวดวิชาที่มีค่าใช้จ่ายสูง มากกว่าการเรียนกับโรงเรียนของรัฐบาลอย่างในปัจจุบันที่น่าจะเพียงพอแล้ว
คุณดา คุณแม่ที่พาลูกของตนเองมาเรียนพิเศษให้สัมภาษณ์ว่า การที่ตนต้องพาลูกมาเรียนพิเศษ เพราะตนไม่เชื่อมั่นในระบบการศึกษาของไทย มันสร้างความมั่นใจให้กับเราไม่ได้ ตนยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี สามารถตามทันคนอื่น สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้
แม้ว่าจะลำบากกับการต้องมาตามคอยไปรับ ไปส่งลูก แต่คุณดาก็ไม่ย่อท้อ แถมยังดุลูกสาวที่อยู่ในวัยม.1 ที่กำลังทำตัวซุกซน
คุณดากล่าวอีกว่า ระบบการศึกษาของไทยแย่มาก ในห้องเรียนสอนอย่างนึง แต่เวลาที่ออกข้อสอบแข่งขัน กลับออกข้อสอบอีกแบบหนึ่ง แล้วตรงไหนที่เป็นมาตรฐาน แล้วตรงไหนที่เป็นตัวชี้วัด ข้อสอบไม่ได้ออกตามที่สอนเลย ออกยากกว่ามาก ทำให้เราต้องขวนขวาย พาลูกมาเรียนพิเศษ กลัวลูกไม่เข้าใจ กลัวลูกตามไม่ทัน


“ระบบการศึกษาของไทยมันล้มเหลว ล้มเหลวอย่างมากในความคิดของคุณแม่ ทำไมจะต้องทำให้เกิดการแข่งขันสูง ทำไมจะต้องทำให้เกิดการแย่งที่เรียนกัน แล้วคนที่เค้าไม่มีฐานะ คนที่เค้าไม่มีโอกาสได้เรียนแบบนี้ล่ะ เค้าจะเอาโอกาสตรงไหนมาใช้ ในเมื่อระบบการศึกษาไทยมันเป็นแบบนี้ มันบีบให้เราต้องแข่งขันกัน” คุณดากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากสภาพสังคมในปัจจุบัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ปกครองไม่ให้ความเชื่อใจต่อระบบการศึกษาของไทยอีกต่อไปเนื่องด้วยความไม่เป็นมาตรฐานของหลักสูตร การสอบแข่งขันต่างๆ กลายเป็นปัจจัยส่งผลให้สถาบันกวดวิชาต่างๆพัฒนา และเจริญเติบโตขึ้นมา คู่ขนานกลับการศึกษาของไทย แทนที่กรอบการศึกษาของไทยจะไปส่วนหลัก แต่ในขณะนี้สังคมกลับให้ความสนใจกับสถาบันกวดวิชาภายนอกไปแล้ว และถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ สถาบันกวดวิชาภายนอกก็จะเจริญรุ่งเรือง ระบบการศึกษาของไทยก็จะเสื่อมโทรมลงไป

PrinceBerry/ปณิธาน

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตจริงที่แพ้กฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกันบนฐานสังคม


ชีวิตจริงที่แพ้กฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกันบนฐานสังคม



ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงคล้อยตามสังคมโลกมากมาย เพศที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศชาย และหญิงเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว เป็นเวลานานเช่นกันกว่าที่เพศที่สามจะเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย แม้ว่าจะยังไม่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางมากมายเหมือนในนานาอารยะประเทศ แต่สำหรับในประเทศไทย เพศที่สาม เช่น เกย์ กระเทย นั้น ก็ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งทางสังคม ไม่ถูกเหยียดหยาม ไม่ถูกขับไล่เหมือนเช่นแต่ก่อนที่เป็นมา
อย่างน้อยก็ไม่ถึงขนาดหนีพ่อออกมาจากบ้านก็แล้วกัน
แต่ถึงแม้ว่าการยอมรับจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ในทางกฎหมายบางส่วนนั้นก็ยังไม่รองรับสิทธิ์ให้กับเพศที่สามดังเช่นกรณี กลุ่มเกย์ออกมาโวย เรื่องสิทธิ์ในการทำประกันชีวิตให้กับคู่รักของตน กลายเป็นประเด็นวิพากษ์ถึงสิทธิ์และความเท่าเทียมกันของทั้งสามเพศ เนื่องจากว่า กลุ่มเกย์ไม่สามารถทำประกันชีวิตให้กับคู่รักได้ เพียงเพราะทั้งคู่ไม่ใช่สามี ภรรยากันตามกฎหมาย แม้ว่าจะทำมาหากินหรือมีทรัพย์สินร่วมกันก็ตาม แล้วสิ่งที่บริษัทประกันต้องการคืออะไร?
 ใบจดทะเบียนสมรสนั่นเอง...
แต่เนื่องจากว่าในกรอบกฎหมายของไทยนั้นยังไม่กว้างพอที่จะให้เพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ ก็ส่งผลต่อสิทธิ์ทางกฎหมายต่างๆตามที่พึงจะได้ขาดหายไป กลุ่มเพศที่สามก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มกระแสรองที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่สามารถต่อรองหรือยื่นเรื่องเพื่อดำเนินสิทธิ์ตามที่ควรจะได้ไป เช่น สิทธิในการอยู่กินฉันสามีภรรยา สิทธิในการหึงหวงอย่างออกนอกหน้า รวมถึงสิทธิในการรับมรดกหากอีกฝ่ายด่วนจากไปเสียก่อน เป็นต้น
หากต้องตั้งคำถามว่า ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ซึ่งสิทธิ์นั้นมา?
เฉาะทิ้ง!!แปลงเพศเลยดีไหม? ก็ไม่ได้ ต่อให้ทำไปแล้วตามกฎหมายก็ยังเป็นผู้ชาย ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อยู่ดี เพราะกฎหมายระบุว่า ต้องเป็นชาย-หญิงอายุ 20 ปีบริบูรณ์ (หรือ 17 ปี บริบูรณ์โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองแล้วเท่านั้น)
เสียดายน้องชายเปล่าๆ เก็บไว้ใช้ปัสสาวะดีกว่า..
ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พอจะทำให้คือต้องแก้ทีตัวกฎหมายผลักดันให้เกิดการปรับปรุงถ้อยคำในตัวบท เพื่อที่จะให้เปิดกว้างแก่บุคคลที่เป็นเพศที่สามด้วย สังคมต้องมีความเข้าใจด้วยว่าในปัจจุบัน ไม่ได้มีเพียงแค่เพศที่หนึ่ง กับเพศที่สองครองโลกตลอดมาอย่างที่ผ่านมาแล้ว
ขนาดไดโนเสาร์ยังสูญพันธุ์ได้
แล้วทำไมเพศเดียวกันจะมีความรักให้แก่กัน อยากทำสิ่งดีๆให้แก่กัน อยากอยู่กินฉันท์สามี-ภรรยาด้วยกันบ้างไปไม่ได้?
คำนิยามของคำว่า รัก คือการที่คนสองคนรู้สึกดีต่อกันมีความรักต่อกัน ไม่จำกัดเพศไม่ใช่หรือ?
ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงยังมัวจำกัดสิทธิของกลุ่มเพศที่สามอยู่ เพศที่สามก็มีความรักให้แก่กัน มีสิ่งดีๆให้แก่กันตามบทนิยามอย่างที่ต้องการทั้งหมด
ขนาดอาร์เจนติน่ายังไฟเขียวให้เกย์แต่งงานกันได้แล้วเลย ประเทศไทยยังจะมัวล้าหลังอีกหรือ?
เรื่องนี้รัฐไม่เสียประโยชน์หรอก แต่เป็นตัวบุคคลต่างหากที่ต้องเสียประโยชน์ เสียสิทธิในหลายเรื่อง อีกทั้งยังเป็นเรื่องของตัวเพศที่สามเองอีกด้วย
อย่าลืมสิว่าประเทศไทยมี รัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่ระบุว่าห้ามเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศอยู่
รัฐต้องรีบดำเนินการ ผลักดันแก้กฎหมายให้เพศที่สามจดทะเบียนสมรสกันได้เสียที ถ้าไม่อยากเป็นเต่าล้านปี!!

PrinceBerry