วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใช้แล้ว...ใช้อีก ขวดน้ำที่จตุจักร


ใช้แล้ว...ใช้อีก ขวดน้ำที่จตุจักร


“รับน้ำเย็นๆไหมคะ เก็กฮวย โคล่า กาแฟ น้ำเปล่าสะอาดบริสุทธิ์ก็มีนะคะ”
เสียงแม่ค้าดังเจื้อยแจ้วเข้ามา ทันทีที่พ้นประตูจตุจักร อากาศซึ่งร้อนอบอ้าวราวกับเป็นลางบอกเหตุว่าฝนห่าใหญ่กำลังตามติดมานั้นไม่ได้ทำให้เสียงสดใส สุกสกาวของแม่ค้าผู้นั้นลดลงเลย
แม้ผู้เขียนจะทนต่อสถานการณ์ทางการเมืองได้ แต่คงไม่อาจทนต่อภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายได้แม้แต่วินาทีเดียว
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต จนบางครั้งเราก็ลืมให้ความสำคัญต่อความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำดื่มที่เราบริโภค ซึ่งบางครั้งอาจไม่สะอาดหรือได้คุณภาพเท่าที่ควร
แม้ว่าทางการปะปาจะรับรองคุณภาพของน้ำที่ให้บริการว่าสามารถดื่มได้ แต่คนไทยเราก็ยังไม่มั่นใจในคุณภาพและความสะอาดของน้ำ จึงหันมาดื่มน้ำที่บรรจุขวดขายเป็นทางเลือกอีกทางเพื่อป้องกันและสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ซึ่งการดื่มน้ำบรรจุขวดนี้
 ไม่ว่าจะดื่มที่บ้าน หรือนอกสถานที่ น้ำดื่มบรรจุขวดก็ยังให้ความปลอดภัยต่อตัวผู้บริโภคเองได้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า น้ำดื่มที่เราซื้อบริโภคนอกสถานที่นั้น เป็นน้ำสะอาดที่ปลอดภัย และรับมาจากผู้ผลิตโดยตรง ไม่มีการบรรจุขวดเองแล้วใช้ซ้ำ


“ติ๊ก” สาวนักช็อปถือขวดน้ำดื่มเข้ามาใกล้ ผู้เขียนจึงเข้าไปสอบถามถึงความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนจะซื้อน้ำและเปิดขวด เธอได้เช็คซีลพลาสติกที่ปิดฝาขวดเรียบร้อยแล้ว หากจะดื่มน้ำต้องดูก่อนว่าไม่มีร่องรอยการแกะ หรือการทำขวดกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ร้านที่เธอเลือกซื้อควรจะต้องเป็นร้านที่มีที่ตั้งมั่นคง ไม่ใช่ร้านแผงลอย ต้องมีสต๊อกของเป็นแพ็คให้เราเห็น เธอจึงจะเลือกซื้อ
ถึงแม้ติ๊กจะป้องกันตนเองอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้เครือข่ายขบวนการเอาเปรียบผู้บริโภคเช่นนี้หายไปได้ เนื่องจากในสีงคมนั้น ยังมีผู้ที่รู้ไม่เท่าทันวิธีการและตกเป็นเหยื่อของผู้ค้าอีกจำนวนมาก


ในขณะที่สัมภาษณ์สาวหน้าหวานอยู่นั้นเอง สาวเปรี้ยวอีกคนก็กำลังซื้อน้ำดื่มด้วยความกระหาย ผู้เขียนจึงไม่รอช้า เข้าไปถามความรู้สึกของเธอบ้าง
“อุ้ม”เด็กสาวท่าทางทะมัดทะแมงดื่มน้ำด้วยความกระหายพลางโบกมือให้ผู้เขียนรอสักครู่ ก่อนที่เธอจะให้สัมภาษณ์
อุ้มบอกว่า เธอเป็นขาประจำของสวนจตุจักร เนื่องจากเคยทำงานอยู่ที่นี่ โดยส่วนตัวแล้วเธอไม่คิดมากเรื่องที่มาของผลิตภัณฑ์ เธอจึงไม่เคยทราบมาก่อนว่าวิธีการของผู้ขายเป็นอย่างไร ขอเพียงเธอดื่มเข้าไปแล้วท้องไม่เสียก็เป็นพอแล้ว
ผู้บริโภคบางรายซื้อน้ำดื่มโดยที่ไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น บางคนคิดว่าการที่ผู้ขายเปิดขวดน้ำให้นั้นเป็นการบริการหลังการขายที่ดี แต่ใครจะรู้บ้างว่านั่น อาจเป็นวิธีการที่ใช้เพื่อปกปิดร่องรอยการนำขวดกลับมาใช้ใหม่ที่แนบเนียนก็เป็นได้

PrinceBerry

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จำนวนสถาบันกวดวิชา สะท้อนคุณภาพระบบการศึกษาไทย





สกู๊ป จำนวนสถาบันกวดวิชา สะท้อนคุณภาพระบบการศึกษาไทย
ทั้งที่เป็นวัยหยุดสุดสัปดาห์ แต่เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เดินกันให้ทั่วสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม แน่นอนว่าจุดประสงค์ของแต่ล่ะคนคงไม่เหมือนกัน และคงไม่ได้มาเพียงเพื่อจะชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง “รถไฟฟ้า มาหานะเธอ” ที่โด่งดังเป็นพลุแตก หรือแค่มาเที่ยวชมโรงภาพยนตร์ที่ถูกไฟไหม้ จากฝีมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
แต่เป้าหมายที่แท้จริง ของนักเรียนสะพายเป้ในชุดไปรเวท คือการมาเรียนรู้นอกห้องเรียนกับสถาบันกวดวิชาต่างๆ
หนึ่งสมองกับสองมือ หนึ่งหัวใจกับสองเท้าก้าวย่างเดิน เพื่อมาเรียนพิเศษที่สยาม ศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด
มีตั้งแต่นักเรียนอายุ 13 ปี ไปจนถึง อายุ 18 ปี ผสมปะปนกันไป โดยทั้งหมดนั้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เรียนพิเศษ หาความรู้เพิ่มเติมจากความรู้ในห้องเรียน
แปลว่าอะไร? แปลว่าระบบการศึกษาในห้องไม่ดีอย่างนั้นหรือ ถึงขนาดที่จะต้องมาหาสถานศึกษาภายนอกที่ไม่ใช่ของรัฐบาลกันแบบนี้
เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังนั่งกดบีบีอยู่หน้าธนาคารกรุงเทพใกล้ๆบันไดทางลงของสถานีรถไฟฟ้า ในมือเต็มไปด้วยหนังสือเรียนกวดวิชา จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน
ธรรศ กิตติสุวรรณ์ นักเรียนชั้นม.5 มีเป้าหมายจะเป็นทันตแพทย์ให้ความคิดเห็นว่า ที่ตนต้องมาเรียนพิเศษ เพราะรู้สึกว่าการเรียนในห้องไม่เพียงพอต่อการใช้ในการสอบ ถ้าหากตนไม่เรียนพิเศษก็คงจะตามคนอื่นๆไม่ทัน
“เดี๋ยวนี้ใครๆก็เรียนทั้งนั้น มันเท่ากับว่า คนอื่นเค้าเดินนำหน้าเราไปก้าวนึง ถ้าเราไม่ได้เรียนพิเศษ เค้าก็รู้มากกว่าเรา เวลาสอบแข่งขันเราจะเสียเปรียบ” ธรรศกล่าว
เห็นได้ชัดว่า สภาพสังคมไทยก็ตอบรับกับความคิดนี้ ดังที่เราเห็นจากปรากฎการณ์ของสถาบันกวดวิชาที่มีมากมาย พัฒนาจากการที่รับสอนพิเศษตามบ้านในวันหยุด สอนแค่การบ้านพิเศษ กลายเป็นสถาบันกวดวิชาเป็นตึก เรียนกันเป็นคอร์ส เป็นชั่วโมง กลายเป็นโรงเรียนแห่งที่สองสำหรับวันหยุดพักผ่อนของเด็กนักเรียนไปแล้ว
 ไม่ว่าจะเป็น เดอะเบรน ออนดีมานด์ อาจาร์ยอุ๊ ล้วนแต่เป็นสถาบันที่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและเด็กนักเรียนในยุคใหม่ทั้งสิ้น
การศึกษาของไทยในปัจจุบัน มันกลายเป็นเรื่องที่มากกว่า การให้ความรู้ การรับความรู้ไปแล้ว กลายเป็นการแข่งขันที่ทุกคนต้องช่วงชิงกัน เพื่อให้ตนเองได้อยู่ข้างหน้า ได้อยู่ตำแหน่งที่ดีๆ ได้อยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
โดยที่มีผู้ปกครองคอยแนะนำส่งเสริม สนับสนุนแกมบังคับอยู่เบื้องหลัง โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมและสภาพจิตใจของเด็กที่จะต้องมาอยู่ในสังคมแห่งการแข่งขัน

หลังจากน้องธรรศจากไปไม่นาน ก็มีเด็กหนุ่มหน้าใสอีกคนเดินสวนมาด้วยท่าทีรีบร้อน  จึงต้องขอรบกวนเวลาเพื่อสัมภาษณ์น้องคนนี้สักเล็กน้อย ด้วยความน่าสนใจ บุคลิก และหนังสือปึกใหญ่ที่อยู่ในมือของเค้า
เด็กหนุ่มแม้ว่าจะรีบร้อน แต่ก็ยังยินดีเสียสละเวลาให้กับเรา ซึ่งต้องแสดงความขอบคุณให้ ณ ที่นี้ด้วย
ธโนคม โสบุมา ณ อยุธยา นักเรียนชั้นม.3 จากโรงเรียนในจังหวัดอยุธากล่าวว่า ที่ตนต้องมาเรียนที่กรุงเทพในช่วงปิดเทอม เพราะว่าผู้ปกครองต้องการให้ตนมีความรู้เทียบเท่ากับเด็กในกรุงเทพ ผู้ปกครองของตนมองว่า การศึกษาในต่างหวัดไม่เท่าเทียมกับในกรุงเทพ ถ้าหากไม่มาเรียนที่กรุงเทพ โอกาสที่จะไม่รู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้ก็มีมาก และจะกลายเป็นข้อเสียเปรียบเวลาสอบแข่งขันกัน
“มันกลายเป็นเรื่องจำเป็นไปแล้ว สำหรับการเรียนพิเศษ ทุกปิดเทอมผมจะต้องมาเรียนเพิ่ม ไม่อย่างนั้นเราก็จะสอบไม่ได้ แข่งขันกับใครก็ไม่ได้” ธโนคมกล่าว
ดูเหมือนกับว่าทั้งตัวผู้ปกครองและตัวเด็กนักเรียนเอง ต่างก็ให้ความสำคัญกับสถาบันกวดวิชาและการเรียนพิเศษมากเป็นพิเศษ นั่นแปลว่า ช่วงเวลา 8 ชั่วโมงในโรงเรียนนั้น ไม่มีผลใดๆต่อความรู้สึกของตัวเด็กและผู้ปกครอง แต่กลับเป็นช่วงเวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมงของสถาบันกวดวิชา ที่มีค่าและความสำคัญต่อความรู้สึก
มันเป็นเพียงแค่กระแสค่านิยม หรือระบบการศึกษาไทยมันแย่จริงๆ?
ทำไมเสียงสะท้องของสังคม กลับเลือกที่จะใช้บริการจากสถาบันกวดวิชาที่มีค่าใช้จ่ายสูง มากกว่าการเรียนกับโรงเรียนของรัฐบาลอย่างในปัจจุบันที่น่าจะเพียงพอแล้ว
คุณดา คุณแม่ที่พาลูกของตนเองมาเรียนพิเศษให้สัมภาษณ์ว่า การที่ตนต้องพาลูกมาเรียนพิเศษ เพราะตนไม่เชื่อมั่นในระบบการศึกษาของไทย มันสร้างความมั่นใจให้กับเราไม่ได้ ตนยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี สามารถตามทันคนอื่น สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้
แม้ว่าจะลำบากกับการต้องมาตามคอยไปรับ ไปส่งลูก แต่คุณดาก็ไม่ย่อท้อ แถมยังดุลูกสาวที่อยู่ในวัยม.1 ที่กำลังทำตัวซุกซน
คุณดากล่าวอีกว่า ระบบการศึกษาของไทยแย่มาก ในห้องเรียนสอนอย่างนึง แต่เวลาที่ออกข้อสอบแข่งขัน กลับออกข้อสอบอีกแบบหนึ่ง แล้วตรงไหนที่เป็นมาตรฐาน แล้วตรงไหนที่เป็นตัวชี้วัด ข้อสอบไม่ได้ออกตามที่สอนเลย ออกยากกว่ามาก ทำให้เราต้องขวนขวาย พาลูกมาเรียนพิเศษ กลัวลูกไม่เข้าใจ กลัวลูกตามไม่ทัน


“ระบบการศึกษาของไทยมันล้มเหลว ล้มเหลวอย่างมากในความคิดของคุณแม่ ทำไมจะต้องทำให้เกิดการแข่งขันสูง ทำไมจะต้องทำให้เกิดการแย่งที่เรียนกัน แล้วคนที่เค้าไม่มีฐานะ คนที่เค้าไม่มีโอกาสได้เรียนแบบนี้ล่ะ เค้าจะเอาโอกาสตรงไหนมาใช้ ในเมื่อระบบการศึกษาไทยมันเป็นแบบนี้ มันบีบให้เราต้องแข่งขันกัน” คุณดากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากสภาพสังคมในปัจจุบัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ปกครองไม่ให้ความเชื่อใจต่อระบบการศึกษาของไทยอีกต่อไปเนื่องด้วยความไม่เป็นมาตรฐานของหลักสูตร การสอบแข่งขันต่างๆ กลายเป็นปัจจัยส่งผลให้สถาบันกวดวิชาต่างๆพัฒนา และเจริญเติบโตขึ้นมา คู่ขนานกลับการศึกษาของไทย แทนที่กรอบการศึกษาของไทยจะไปส่วนหลัก แต่ในขณะนี้สังคมกลับให้ความสนใจกับสถาบันกวดวิชาภายนอกไปแล้ว และถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ สถาบันกวดวิชาภายนอกก็จะเจริญรุ่งเรือง ระบบการศึกษาของไทยก็จะเสื่อมโทรมลงไป

PrinceBerry/ปณิธาน

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตจริงที่แพ้กฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกันบนฐานสังคม


ชีวิตจริงที่แพ้กฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกันบนฐานสังคม



ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงคล้อยตามสังคมโลกมากมาย เพศที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศชาย และหญิงเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว เป็นเวลานานเช่นกันกว่าที่เพศที่สามจะเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย แม้ว่าจะยังไม่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางมากมายเหมือนในนานาอารยะประเทศ แต่สำหรับในประเทศไทย เพศที่สาม เช่น เกย์ กระเทย นั้น ก็ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งทางสังคม ไม่ถูกเหยียดหยาม ไม่ถูกขับไล่เหมือนเช่นแต่ก่อนที่เป็นมา
อย่างน้อยก็ไม่ถึงขนาดหนีพ่อออกมาจากบ้านก็แล้วกัน
แต่ถึงแม้ว่าการยอมรับจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ในทางกฎหมายบางส่วนนั้นก็ยังไม่รองรับสิทธิ์ให้กับเพศที่สามดังเช่นกรณี กลุ่มเกย์ออกมาโวย เรื่องสิทธิ์ในการทำประกันชีวิตให้กับคู่รักของตน กลายเป็นประเด็นวิพากษ์ถึงสิทธิ์และความเท่าเทียมกันของทั้งสามเพศ เนื่องจากว่า กลุ่มเกย์ไม่สามารถทำประกันชีวิตให้กับคู่รักได้ เพียงเพราะทั้งคู่ไม่ใช่สามี ภรรยากันตามกฎหมาย แม้ว่าจะทำมาหากินหรือมีทรัพย์สินร่วมกันก็ตาม แล้วสิ่งที่บริษัทประกันต้องการคืออะไร?
 ใบจดทะเบียนสมรสนั่นเอง...
แต่เนื่องจากว่าในกรอบกฎหมายของไทยนั้นยังไม่กว้างพอที่จะให้เพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ ก็ส่งผลต่อสิทธิ์ทางกฎหมายต่างๆตามที่พึงจะได้ขาดหายไป กลุ่มเพศที่สามก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มกระแสรองที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่สามารถต่อรองหรือยื่นเรื่องเพื่อดำเนินสิทธิ์ตามที่ควรจะได้ไป เช่น สิทธิในการอยู่กินฉันสามีภรรยา สิทธิในการหึงหวงอย่างออกนอกหน้า รวมถึงสิทธิในการรับมรดกหากอีกฝ่ายด่วนจากไปเสียก่อน เป็นต้น
หากต้องตั้งคำถามว่า ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้ซึ่งสิทธิ์นั้นมา?
เฉาะทิ้ง!!แปลงเพศเลยดีไหม? ก็ไม่ได้ ต่อให้ทำไปแล้วตามกฎหมายก็ยังเป็นผู้ชาย ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อยู่ดี เพราะกฎหมายระบุว่า ต้องเป็นชาย-หญิงอายุ 20 ปีบริบูรณ์ (หรือ 17 ปี บริบูรณ์โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองแล้วเท่านั้น)
เสียดายน้องชายเปล่าๆ เก็บไว้ใช้ปัสสาวะดีกว่า..
ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พอจะทำให้คือต้องแก้ทีตัวกฎหมายผลักดันให้เกิดการปรับปรุงถ้อยคำในตัวบท เพื่อที่จะให้เปิดกว้างแก่บุคคลที่เป็นเพศที่สามด้วย สังคมต้องมีความเข้าใจด้วยว่าในปัจจุบัน ไม่ได้มีเพียงแค่เพศที่หนึ่ง กับเพศที่สองครองโลกตลอดมาอย่างที่ผ่านมาแล้ว
ขนาดไดโนเสาร์ยังสูญพันธุ์ได้
แล้วทำไมเพศเดียวกันจะมีความรักให้แก่กัน อยากทำสิ่งดีๆให้แก่กัน อยากอยู่กินฉันท์สามี-ภรรยาด้วยกันบ้างไปไม่ได้?
คำนิยามของคำว่า รัก คือการที่คนสองคนรู้สึกดีต่อกันมีความรักต่อกัน ไม่จำกัดเพศไม่ใช่หรือ?
ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงยังมัวจำกัดสิทธิของกลุ่มเพศที่สามอยู่ เพศที่สามก็มีความรักให้แก่กัน มีสิ่งดีๆให้แก่กันตามบทนิยามอย่างที่ต้องการทั้งหมด
ขนาดอาร์เจนติน่ายังไฟเขียวให้เกย์แต่งงานกันได้แล้วเลย ประเทศไทยยังจะมัวล้าหลังอีกหรือ?
เรื่องนี้รัฐไม่เสียประโยชน์หรอก แต่เป็นตัวบุคคลต่างหากที่ต้องเสียประโยชน์ เสียสิทธิในหลายเรื่อง อีกทั้งยังเป็นเรื่องของตัวเพศที่สามเองอีกด้วย
อย่าลืมสิว่าประเทศไทยมี รัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่ระบุว่าห้ามเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศอยู่
รัฐต้องรีบดำเนินการ ผลักดันแก้กฎหมายให้เพศที่สามจดทะเบียนสมรสกันได้เสียที ถ้าไม่อยากเป็นเต่าล้านปี!!

PrinceBerry